ประวัติความเป็นมาของแบร์น Tocco Toscano

Tocco Toscano หมายถึง " สัมผัสแห่งศิลปะและโรแมนติกที่มีประวัติอันยาวนาน " มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ Florence, Tuscany ส่วนกลางของประเทศอิตาลีซึ่ง UNESCO จัดให้เป็นหนึ่งในมรดกของโลกในปี 1982 คือการค้นหาความงามและการแต่งแต้มศิลปะในด้านต่าง ๆ ของชีวิต

Tocco Toscano มาพร้อมกับความหรูหรามีสไตล์และใช้งานได้จริง พวกเราได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทและหลากหลายแนวซึ่งเหมาะแก่การใช้งานในชีวิตประจำวัน  และมีสาขาในหลายประเทศ ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยพร้อมกับประสบการณ์ในการผลิตเครื่องหนังกว่า 30 ปี นำทีมโดยคุณ James และลูกชายของเขา Joseph Lor.



การก่อตั้งในปีแรก

James Lor ผู้ก่อตั้งของเรานั้นได้เรียนรู้และผ่านความยากลำบากมากมายตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นเด็ก เขาเป็นลูกคนสุดท้องที่เติบโตในระแวกยากจนในประเทศสิงคโปร์ เขามีชีวิตที่ยากลำบาก ประสบการณ์ในการเป็นผู้ประกอบการครั้งแรกของเราคือการขายล็อตเตอร์รี แต่โชคร้ายที่ชีวิตของเขานั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และนักเลงที่พบได้บ่อย ๆ ในช่วงยุค 60

ติดคุกเพราะยาเสพติด

เขาเริ่มลองกัญชาเมื่ออายุ 11 ปี และลองยาเสพติดที่มีฤทธิ์มากขึ้นเช่น ฝิ่น มอร์ฟีน และเฮโรอีน ช่วงวัยรุ่นตอนต้นเขาได้ออกจากโรงเรียนเมื่ออายุ 15 เข้าแก็งค์นักเลงเมื่ออายุ 17 ปี และติดคุกเป็นครั้งแรก ในช่วงนี้ถึงอายุ 20 กลางๆ เขาก็ใช้ชีวิตในการเข้า-ออกคุกซ้ำๆ และชีวิตก็ยังข้องเกี่ยวกับนักเลงและยาเสพติด

ในการถูกจับครั้งสุดท้าย แทนที่จะส่งตัวเขาเข้าคุก มิชชันนารี Pastor Neville Tan ก็ได้ส่งเขาไปยังศุนย์บำบัดผู้ติดยา

ในการบำบัดนั้น เขาได้ทำกิจกรรมอยู่หนึ่งอย่าง คือการมัดหนังกับคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำเครื่องหนังเช่นการตัด การเย็บ การปั๊มลาย ไม่นานนักสิ่งนี้ก็กลายเป็นความชอบของเขา และเขาตัดสินใจว่าเมื่อถูกปล่อยตัวออกไป เขาจะประกอบอาชีพเป็นช่างฝีมือ

เริ่มต้นการทำงาน

มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเขาในการหางาน เพราะไม่มีใครอยากจะจ้างอดีตนักโทษ เขาก็เลยโดนปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็เลยตัดสินใจสร้างธุรกิจของตัวเอง(แล้วก็บอกถึงประวัติอาชญากรรมย้อนหลังของเขาด้วย) เขาเริ่มจากการกู้เงินมาก้อนนึงเพื่อซื้อหนังและหัวเข็มขัด เพื่อทำเข็มขัดของเขาเอง

ด้วยความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเขา เขาได้ขายสินค้าโดยการเคาะประตูตามบ้านลูกค้าก่อนที่จะติดต่อห้างเพื่อให้ขายสินค้าของเขา ด้วยความสำเร็จเล็กๆนี้ทำให้เขามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น เขาก็เลยตัดสินใจทำสินค้าที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือกระเป๋าและกระเป๋าสตางค์

การฝึกงานที่ Florence

เขารู้ดีว่าแค่ความรู้และความสามารถของเขานั้นไม่เพียงพอในขณะนั้น จึงเริ่มออกหาการฝึกงาน ซึ่งคุณ Valecchi Stefano ซึ่งดำเนินธุรกิจเวิร์คช็อปเล็กๆ และยังเป็นเจ้าของ TOSCANO ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องหนังของเขา เขาขายเครื่องหนังตามสั่งให้แก่ลูกค้า

ในระหว่างการฝึกงาน เจมส์ก็ได้สร้างความประทับใจด้วยฝีมือและเทคนิคของเขา ทำให้เขาได้รับความสนใจจากงานแสดงของช่างฝีมือ เขาคิดว่าเขาต้องนำสินค้าที่มีคุณภาพนี้สู่เอเชีย ในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ คุณ Stefano ก็เลยยินยอมให้ใบอนุญาตในการถือลิขสิทธิ์แบรนด์ TOSCANO ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับเขา


TOSCANO ในเอเชีย

ในปี 1987 เจมส์เดินทางกลับประเทศสิงคโปร์และเปิดตัวแบรนด์ TOSCANO ในห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง ในช่วงแรกๆ สินค้าของเขานั้นนำเข้าจากเวิร์คช็อปของคุณ Stefano แต่มันก็ไม่ได้ขายดีอยากที่เขาหวังไว้ เขาก็เลยปรับเลี่ยนดีไซน์และรูปลักษณ์โดยที่คงด้วยคุณภาพของ TOSCANO ไว้ และขายมันในตลาดท้องถิ่น

คอลเลคชันแรกของเขา “DURAN” ในปี 1988 มีจุดเด่นด้วย กระเป๋าสีเขียวหนัง PVC เย็บริมด้วยหนัง full-grain vegetable tanned cowhide ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เมื่อหลายๆปีผ่านไปก็ทำให้แบรนด์ของเขามีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาปล่อยคอลเลคชันใหม่เช่น Breezy (1990) และ Eodia (1995) ลูกค้าได้กลับมาซื้อสินค้าของเขาเนื่องจากสินค้ามีคุณภาพและมีจุดเด่นที่ยังเป็นจุดแข็งของแบรนด์มาถึงปัจจุบันนี้





ในกลางปี 1990 เจมส์ก็ได้ซื้อแบรนด์ TOSCANO และตั้งใจที่พัฒนาสินค้าให้มีความเป็นแฟชั่นมากยิ่งขึ้นแต่ยังคงไว้ด้วยความคลาสสิกตามแบบฉบับอิตาลี และได้เปลี่ยนชื่อแบรนด์จาก TOSCANO เป็น TOCCO TOSCANO

ในปี 2016 ลูกชายของเจมส์ “โจเซฟ” ได้ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Tocco Toscano และดำเนินธุรกิจตามที่พ่อของเขาได้ตั้งใจไว้

จากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก : ธุรกิจรุ่นที่ 2

เจมส์ได้ตั้งใจจะสร้างสินค้าที่มีความสวยงาม ทำขึ้นจากหนังที่มีคุณภาพให้กับลูกค้าที่หลากหลาย และโจเซฟก็มีความตั้งใจเช่นนั้น แต่ด้วยวิสัยที่กว้างไกลมากยิ่งขึ้นทำให้เขามองถึงการใช้งาน การดีไซน์ และการเป็นแบรนด์กระเป๋าที่หรูหรา

การใช้เทคโนโลยี

มุ่งเน้นในการวิเคราะห์ข้อมูล

ในเดือนกันยายนปี 2015 ทางแบรนด์ได้พัฒนาแท็กกระเป๋าที่มีคลื่นความถี่วิทยุ (RFID) ออกมาจำหน่ายและมีการทำระบบจัดการสินค้าที่มีอยู่ในร้าน ทำให้การขายมีประสิทธิภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถติดตามสินค้าที่อยู่ในคลังได้ และทำให้ทางแบรนด์รู้ว่าลูกค้าต้องการสินค้าในแบบไหน

 Faire Leather Co.


Faire Leather Co. ได้เริ่มต้นมาจากบทสนทนาสบาย ๆ ของโจเกี่ยวกับธุรกิจครอบครัวของเขา จึงเป็นไอเดียที่จะสร้างแบรนด์ขึ้นมา ด้วยประสบการณ์ของเขา ทำให้เขารู้ถึงคอนเซปต์ของผลิตภัณฑ์ที่เขาจะสร้างขึ้น

ผมเป็นคนที่ต้องทำงานอยู่เกือบจะตลอดเวลา และยังต้องเดินทางบ่อยๆ ปกติแล้วผมจะต้องพก Kindle ของผม แล็ปท็อป โน้ตบุ๊ก และสัมภาระที่จำเป็นต่าง ๆ ในกระเป๋าทำงานของผม แต่ผมรู้สึกเหมือนว่าในขณะที่ผมไปทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่างในกระเป๋าผมมันยุ่งเหยิงไปหมด จนผมหาของไม่เจอ ซึ่งต่างจากภายนอกของกระเป๋าที่ดูเรียบร้อยและมีความเป็นมืออาชีพ

ผมก็เลยถามโจว่า “มันจะยากไหม ถ้าเราจะทำกระเป๋าที่ใส่สัมภาระต่าง ๆ ของผมได้อย่างพอดี”

โจอธิบายว่า “มันไม่ง่ายเลยนะ ที่จะทำแค่ช่องใส่ของต่าง ๆ ” พวกเราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบของกระเป๋าเอกสารในรูปแบบเดิม ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน พวกเราจึงได้คำนึงถึงสัมภาระและอุปกรณ์ที่จำเป็นต่าง ๆ ในยุคปัจจุบันนี้ แล้วจึงออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นถึงการใช้งาน ไม่ใช่แค่เพียงช่องใส่ของเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงรายละเอียดต่าง ๆ อีกด้วย

เราบรรลุเป้าหมายของเราด้วยการรวมเอาแต่ละรูปแบบแรกเริ่มของกระเป๋า รวมถึง feedback ที่ได้รับบ่อย ๆ จากการทำธุรกิจครอบครัว ลองผิดลองถูกจนกระทั่งได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และมันไม่ใช่สิ่งที่กระเป๋าแบรนด์หรูทำกันนัก แต่พวกเราสามารถทำได้เนื่องจากครอบครัวของโจมีโรงงานหนังของตัวเอง

ผู้สนับสนุนจำนวน 1,143 ราย ได้ร่วมระดมทุนรวมเป็นเงิน 406,228 สิงคโปร์ดอลลาเพื่อให้โพรเจคนี้ดำเนินต่อไปได้

KICKSTARTER

บริษัท Faire Leather Co. ยังถือได้ว่าเป็นแคมเปญหลักของ Kickstarter ที่สามารถระดมทุนได้มากที่สุดของประเทศสิงคโปร์ในขณะนั้น 

Faire Leather Co. ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์หลัก ซึ่งก็คือ the Bond Travel Briefcase และแน่นอนว่าได้เสียงตอบรับจากเอาต์เลทต่าง ๆ เป็นอย่างดี และยังสร้างปรากฏการณ์ขายได้ในเกือบจะทันทีที่วางขาย

เปิดตัวอที่ประเทศไทย

ออฟฟิศต่างประเทศที่แรก

Faire Toscano Thai Co., Ltd

บริษัท Faire Leather Co. พร้อมทั้งบริษัทแม่ Tocco Toscano ได้เปิดตัวเรียบร้อยแล้วในราชอาณาจักรไทย